มช.ร่วมวิจัย ความหวังใหม่แห่งท้องทะเล เต่ามะเฟืองวางไข่เพิ่มขึ้น สะท้อนธรรมชาติกำลังฟื้นฟู

9 มีนาคม 2565

ศูนย์สื่อสารองค์กรและนักศึกษาเก่าสัมพันธ์

ปัจจุบันพบว่าประชากรเต่ามะเฟืองทั่วโลกมีจำนวนลดลงมาก จากการประเมินบัญชีชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN Red List) เต่ามะเฟืองจึงจัดเป็นสัตว์ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable: VU) จากการสำรวจ ประเทศไทยไม่พบการวางไข่ของเต่ามะเฟืองเป็นระยะเวลามากกว่า 5 ปี จนกระทั่ง 2 ปีที่ผ่านมา พบการขึ้นวางไข่ของเต่ามะเฟืองเป็นจำนวนกว่า 20 รังที่ชายหาด บริเวณจังหวัดภูเก็ตและพังงา ถือว่าเป็นเรื่องที่สร้างความน่ายินดีแก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยศูนย์วิจัยชีวศาสตร์ทางสัตวแพทย์ ภาควิชาชีวศาสตร์ทางสัตว์แพทย์และสัตวแพทย์สาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ นำโดยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.กรกฎ งานวงศ์พาณิชย์ หัวหน้าศูนย์วิจัยฯ ร่วมกับ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน กรมทรัพยากรชายทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำโดย ดร. ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ เข้าศึกษาวิจัยโครงสร้างด้านพันธุศาสตร์ประชากรของเต่ามะเฟืองจากการวางไข่อย่างใกล้ชิด

       

เต่ามะเฟืองมีลักษณะทางพันธุกรรมเฉพาะตัว จึงมีความหลากหลายทางชีวภาพน้อย เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การขยายพันธุ์ตามธรรมชาตินั้นน้อยลงไปด้วย ทีมวิจัย ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลฯ เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับแม่เต่ามะเฟืองที่เข้ามาวางไข่ที่ภูเก็ตและพังงาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาว่า มีจำนวนทั้งหมดกี่ตัว เพื่อให้สามารถคาดการณ์ถึงจำนวนประชากรของเต่ามะเฟืองที่มีอยู่ในธรรมชาติในบริเวณชายฝั่งประเทศไทยได้ จึงเกิดการศึกษาโครงสร้างด้านพันธุศาสตร์ของเต่ามะเฟือง โดยการนำเอาเนื้อเยื่อของลูกเต่าที่เสียชีวิตตั้งแต่ในรัง จำนวน 149 ตัวอย่าง แยกมาจากทั้งหมด 14 รัง จาก 5 ชายหาด ในระหว่างปีพ.ศ. 2561-2563 ส่งมาให้ทีมนักวิจัย ศาสตราจารย์ ดร. นายสัตวแพทย์ กรกฎ งานวงศ์พาณิชย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อหาคำตอบ ซึ่งจากการศึกษาโดยวิธีการเปรียบเทียบพันธุกรรมจากส่วนของ Mitochondria ซึ่งเป็นลักษณะพันธุกรรมที่ถูกถ่ายทอดมาจากแม่เท่านั้น ในตำแหน่ง Control Region ของส่วน D-loop หากมีลักษณะที่ตรงกันก็จะแสดงถึงแม่เต่าตัวเดียวกันนั่นเอง ซึ่งพบว่าไข่ทั้ง 14 รังนี้มาจากแม่เต่าจำนวน 3 ตัว และที่น่าสนใจคือ พบแม่เต่า 1 ตัวที่กลับมาวางไข่ในปีที่ 2 ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว ควรจะกลับมาวางไข่อีกครั้งในช่วง 3 - 5 ปี

ผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้สร้างความหวังให้แก่ผู้ที่รักและสนใจในธรรมชาติอย่างมาก แสดงถึงสัญญาณที่ดีว่าธรรมชาติทางทะเลกำลังค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเองกลับมา ศาสตราจารย์ ดร.นายสัตวแพทย์ กรกฎ ได้กล่าวว่า “แม้เราไม่ได้อยู่ใกล้ทะเล เราก็สามารถที่จะช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติได้ด้วยการลดการใช้พลาสติก หรือการ รีไซเคิลพลาสติก เนื่องจากสาเหตุการเสียชีวิตหลักอย่างหนึ่งของสัตว์ทะเลคือพลาสติกที่ถูกทิ้งลงทะเล การที่เราช่วยกันทางอ้อมก็ถือว่ากำลังเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของสัตว์เหล่านี้ได้เช่นกัน” ซึ่งที่มาของความสำเร็จนี้เกิดจากการไม่ละทิ้งคำถามที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์และมีจำนวนประชากรไม่มากแล้ว จากผลการวิจัยในครั้งนี้จะสามารถใช้เป็นแนวทางการจัดการ สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ นำไปสู่การอนุรักษ์ และสร้างสมดุลทางทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลได้อย่างยั่งยืนต่อไป

แกลลอรี่